เทศน์บนศาลา

กิเลสจมเรือ

๑o เม.ย. ๒๕๕๖

 

กิเลสจมเรือ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่  ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้จิตใจเราร่มเย็นเป็นสุขได้แม้แต่อยู่ในอากาศร้อนๆ อย่างนี้อากาศร้อนมากจิตใจเราเร่าร้อนไปตามสภาพแวดล้อม ธรรมะเป็นธรรมชาติธรรมชาติมันเผาลนเรานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ เวลาตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดที่สวนลุมพินี เห็นไหม “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” การเกิดอย่างนั้น การเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปีสลบถึง ๓ หนนะ

ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ เวลาเกิดมาก็บอกว่า“เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เวลาเกิดชาติสุดท้าย พระเจ้าสุทโธทนะเลี้ยงดูอย่างดีเพราะต้องการให้เป็นจักรพรรดิ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละออกไปประพฤติปฏิบัติ ทำทุกรกิริยา กิเลสอยู่ที่ไหน ความเข้าใจของมนุษย์พยายามทรมานมัน พยายามต่อสู้กับกิเลส จนสลบถึง๓ หนนะ สลบถึง ๓หนคือตายฟื้นมา ๓หน มันเป็นธรรมชาติไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อสู้ ต่อสู้สัจจะต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีครูบาอาจารย์ก็รื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเอง ต่อสู้จนสลบถึง๓ หน นั่งภาวนาจนสลบ มันธรรมชาติไหมล่ะ

มันธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติ เวลาที่สวนลุมพินี “เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นสุดแล้ว ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แต่กว่าจะประเสริฐ มันอยู่ที่การกระทำไงกว่าที่จะประเสริฐทดสอบมานั่นน่ะการทดสอบอย่างนั้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ถ้าไม่เป็นพระโพธิสัตว์ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆเขาชักจูงไปอย่างไรมันจะคล้อยตามเขาไปไหม ถ้าไม่คล้อยตามเขาไป แล้วเวลาปฏิบัติถ้าไม่ถึงที่สุดล่ะ

เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบมีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เองได้แต่ตรัสรู้เองก็สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล มหาศาลเพราะอะไรมหาศาลเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้ามหาศาลอย่างนั้น ถึงเวลาทำให้บารมี ให้ความรู้ความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่คล้อยตามไปกับโลก แม้แต่อยู่กับความสุขความสบายในสถานะของราชกุมาร จะเป็นกษัตริย์อยู่แล้วแต่เวลาความรุ่มร้อน ความเผาลนในใจ “เราต้องเป็นเช่นนั้นหรือ เราต้องเป็นเช่นนั้นหรือ เรายังต้องอยู่กับโลกเช่นนั้นหรือ” มันมีความรู้สึกนึกคิดว่าเราจะมีฝั่งตรงข้ามเราจะไม่เป็นแบบชาวบ้านเขา เราจะหาทางออกให้ได้

ย้อนกลับมาที่เราสิ ย้อนกลับมาที่เรา เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมาเพื่อสิ่งใดล่ะเพราะเราเกิดมาเกิดเป็นสาวกสาวกะ เกิดในพระพุทธศาสนา เกิดในพระพุทธศาสนาถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่พยายามขวนขวาย ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้นำนะ ในสังคมนะ ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไม่ออกประพฤติปฏิบัติ สมัยก่อนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นจะออกปฏิบัติเขาเชื่ออะไรกันเขาไม่เชื่อว่ามรรคผลมีหรอกสิ่งที่ทำกันไปก็ทำกันไปเพื่อสร้างบารมีกันไป แต่เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านตามความเป็นจริงของท่าน แล้วท่านวางธรรมวินัยนี้ไว้วางข้อวัตรปฏิบัติให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ปฏิบัติ ผู้นำที่ทำได้จริง พอทำได้จริง มีการพิสูจน์ขึ้นมา สังคมถึงยอมรับตามความเป็นจริงนั้น ถ้ายอมรับตามความเป็นจริงนั้นสังคมปฏิบัติถึงเฟื่องฟูขึ้นมา

แต่ก่อนสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ออกมามันก็เป็นการศึกษาธรรมๆ เป็นประเพณีวัฒนธรรม เพราะไม่มีใครมีจิตใจที่เข้มแข็งที่จะพยายามต่อสู้กับกิเลสในใจของตัวแล้ววิธีการต่อสู้จะต่อสู้อย่างไรศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็งง หาทางออกไม่ได้ หาทางออกไม่ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อสู้กับกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติขึ้นไปทดสอบขนาดไหนเป็นเรื่องโลก โลกียปัญญาๆ ว่ากิเลสมันอยู่ที่ไหน ต่อสู้กับกิเลสขนาดไหนถึงที่สุดแล้วทางโลกคือความเห็นของโลกียปัญญามันไม่มีทางไปแล้วแหละ ย้อนกลับมาย้อนกลับมา ถ้าไม่มีทางไป เราจะต้องค้นคว้าของเราเอง ถ้าค้นคว้าของเราเอง นึกถึงราชกุมารที่ไปนั่งอยู่โคนต้นหว้านั้นกำหนดอานาปานสติไง

เวลากำหนดอานาปานสติ จิตมันสงบเข้ามาได้ ถ้ามันเป็นจริง มันมีฐานแห่งความเป็นจริง พอจิตสงบเข้ามา บุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ แต่ละคราวๆ ที่จิตใจมันพัฒนาของมันขึ้นไป มันเปลี่ยนแปลงของมันขึ้นไป มีการกระทำ มีความจริงขึ้นมา ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าเราศึกษาแล้วเรามีความเชื่ออย่างนั้นกิเลสมันจะจมเรือนะ มันจะจมเรือของเรา มันจะจมความพากความเพียรของเรา ความพากความเพียรของเราที่เราพยายามค้นคว้า พยายามอุตสาหะกันอยู่นี่มันทำเพื่อสิ่งใดความพากความเพียรที่พยายามวิริยอุตสาหะ เห็นไหม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุคคลเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ เราไม่ต้องทำสิ่งใดกันเลย วางใจไว้สบายๆ ธรรมจะมาเอง นี่กิเลสมันจมเรือแล้วล่ะ มันจมความเพียร จมความวิริยะ ความอุตสาหะ พอจะทำความวิริยะความอุตสาหะขึ้นมาก็บอกว่า “สิ่งนั้นเป็นกิเลส สิ่งนั้นเป็นความทุกข์ความยาก ไม่อยากจะทำสิ่งนั้น” ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเอากิเลสศึกษาธรรมไง พอเอากิเลสศึกษาธรรมก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆกิเลสมันจมเรือเลยจมความเพียรความวิริยอุตสาหะของเรา

แล้วถ้าทางโลกเขาล่ะ เวลาทางโลกเขานะ เขาไม่เชื่อหรือนับถือศาสนาอื่น เขาก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะด้วยจิตของเขานะจิตของเขา ในเมื่อเขาเคยทำคุณงามความดี ทำบาปอกุศลของเขามาเขาต้องเวียนตายเวียนเกิดตามแต่อำนาจวาสนาของเขา ในกรรมของเขา การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ นี่สิ่งที่รู้จริงตามความเป็นจริง

บุพเพนิวาสานุสติญาณคืออดีตชาติ จิตแต่ละดวงที่มันเวียนตายเวียนเกิดจุตูปปาตญาณมันก็เวียน ถ้ามันไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์มันก็ต้องเวียนของมันไป อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสแล้วถึงเข้าใจ สัจจญาณ กิจจญาณกตญาณ ถ้าไม่มีวงรอบของสัจจะความจริง กิจจญาณ สัจจญาณ กตญาณ วงรอบ ๑๒ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ คำว่า“เป็นพระอรหันต์” เพราะรู้เท่าตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงชำระล้างตามความเป็นจริงนั้นให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ตามความเป็นจริงแล้วถึงรู้จักว่าจิตมันเวียนตายเวียนเกิดอย่างไร

ฉะนั้น สิ่งที่เขาเชื่อหรือเขาไม่เชื่อในลัทธิต่างๆเวลาเขาเวียนตายเวียนเกิดของเขามันก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นความเชื่อของเขาแต่ความจริงมันคือความจริง จิตมันเป็นแบบนั้น ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วคนที่เวียนตายเวียนเกิดเขาเกิดที่ไหน เขาเกิดบนโลกนี้ ตั้งแต่เทวดาลงมานี่กามภพ กามภพรูปภพ อรูปภพ ในเมื่อจิตมันเวียนตายเวียนเกิดอย่างนั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะลัทธิศาสนาใดใครจะสั่งสอนอย่างใด ความรู้ความเห็นของเขาเขาสั่งสอนของเขาอ้อนวอนกันเอาขอร้องกันเอา เพื่อถึงเวลาแล้วต้องให้ผู้อื่นเป็นผู้พิพากษา

แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ว่าอย่างนั้นปฏิเสธการยอมรับทุกๆ สิ่ง การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะเท่านั้นจะทำให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

แต่ถ้ายังว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ยังอ้อนวอนรอสัจจะความจริงว่ามันจะเกิดขึ้นมากับเราแล้วความเชื่อของลัทธิอื่น ความเชื่อของผู้ที่ไม่สนใจประพฤติปฏิบัติเขาก็คิดของเขาอย่างนั้น ถ้าเขาคิดของเขาอย่างนั้นเขาก็จมเรือของเขา จมเรือของเขาจมความดีความงามของเขาที่เขาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงในใจของเขาเขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาไม่เชื่อของเขา เขาไม่ทำสิ่งใดอย่างนั้น เขาก็จมเรือของเขาความเป็นจริงขึ้นมาในใจของเขาจะไม่มีเป็นความจริงในใจของเขาขึ้นมาเลย เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติ เขาไม่เชื่อของเขา เขาเชื่อแต่ความที่เขาพิสูจน์ได้ในสายตาของเขา ในความรู้ความเห็นของเขา เขาเชื่อของเขา เขาก็จมคุณงามความดีของเขา เขาจะไม่ได้คุณงามความดีของเขา พัฒนาใจของเขาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปกว่านั้น เห็นไหม เขาจมเรือเพราะเขาไม่เชื่อของเขานะ

แต่เพราะเราเชื่อ เราเกิดเป็นชาวพุทธ เรามีศรัทธาความเชื่อศรัทธาความเชื่อแล้วเราก็ค้นคว้าของเรา ศึกษาปฏิบัติของเราเป็นปริยัติ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแนวทาง“ธรรมและวินัยของเราจะเป็นศาสดาของเธอตลอดไป” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้

เวลาพระอานนท์ถามเลยล่ะพระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐาก “เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วอนุชนรุ่นหลังจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรมและวินัยที่เราได้สั่งได้สอนไว้แล้วธรรมและวินัยที่บัญญัติกันขึ้นมานี้จะเป็นศาสดาของเธอ”

ทีนี้ศาสดาของเธอ เราก็เชื่อเราก็ศึกษาของเราศึกษามาเป็นแนวทางของเราศาสดาของเราเป็นผู้นำของเรา ถ้าเป็นผู้นำของเราแล้ว แล้วซ้อนมาที่ไหนล่ะ ทีนี้กิเลสในใจของเราสิกิเลสในใจของเราก็คิดเอาเอง หวังเอาเอง แล้วพวกเราผู้ที่อ่อนด้อยครูบาอาจารย์องค์ไหนที่เขาสอนตามความสะดวกสบายของเขา ก็จะเชื่อเขาไปๆ ไปเชื่อเขาได้อย่างไรเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น

ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราก็ศึกษาได้ เราก็ค้นคว้าได้แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติของเราได้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนๆ ท่านสอนอย่างไร ท่านสอนแล้วมันเป็นความจริงไหม ถ้ามันไม่เป็นความจริงล่ะ

เวลาเรือออกไปอยู่กลางทะเล ถ้าเรือรบ เขามีเรือ เวลาเรือเล็กเรือนี้เรือน้อยเกิดจากเรือใหญ่ เรือใหญ่มันผ่อนถ่ายมา ความผ่อนถ่ายมาเพื่ออะไรล่ะ เพื่อเข้าฝั่ง เพื่อสิ่งต่างๆ สิ่งนี้เรือก็เกิดมาจากเรือเหมือนกับเราก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ ความเกิดมาจากพ่อจากแม่ เราก็ได้เรือมาคนละลำ สิ่งที่เราได้เรือมาคนละลำ เรามีความรู้ความเห็นอย่างใด เราจะไปเชื่อใครล่ะ

เรือของเราเราจะรักษาอย่างใด เราจะบำรุงรักษาของเราอย่างไร พ่อแม่ของเรา เราเกิดจากเวรจากกรรม เรามีเวรมีกรรม เราก็เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา พ่อแม่ของเราศึกษาไหม พ่อแม่ของเราเชื่อในศาสนาไหม พ่อแม่เราประพฤติปฏิบัติไหม นั่นก็เป็นเรือของพ่อแม่ ถ้าเขาทำประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาจะประคองเรือของเขาเข้าสู่ฝั่งได้ไหมถ้าไม่เข้าสู่ฝั่งนะเรือนั้นก็ต้องอับปางลงในกามภพ รูปภพอรูปภพ ในวัฏฏะนั้น เรือนั้นก็ต้องอับปางลง แต่เราเกิดจากพ่อจากแม่เราก็ได้เรือมาลำหนึ่งเหมือนกัน เราจะพาเรือของเราเข้าสู่ฝั่งหรือเราจะให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากจมมันซะ จมมันสู่วัฏฏะนั้น ถ้าจมสู่วัฏฏะก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้

เรามีอำนาจวาสนาบารมี เราพยายามสร้างของเรา ถ้าเราทำสุดความสามารถของเราปฏิบัติบูชาๆ ปฏิบัติบูชาให้จิตใจเรามีสติมีปัญญา ถึงจะเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะก็ขอให้เกิดให้ดีเถอะ แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาใช่ไหม เราก็จะประพฤติปฏิบัติของเราให้ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ถ้าเราสิ้นสุดแห่งทุกข์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศีล สมาธิ ปัญญาถ้าศีล สมาธิปัญญา อริยสัจทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค เวลาทุกข์เป็นความจริง เราเกิดมาเราก็มีทุกข์เป็นความจริงเพราะทุกข์มันอยู่ในเรือของเรา พอทุกข์อยู่ในเรือของเรา มันก็จะมีข้อต่อรองไปเรื่อย

เวลาคนเราเกิดมา เรามีร่างกายมา การเจ็บไข้ได้ป่วยมาเราก็ดูแลรักษาเพื่อจะให้หายจากไข้ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็บีบคั้นทั้งนั้นน่ะ จิตใจมันก็อ่อนแอไปด้วยจิตใจมันก็เร่าร้อนไปด้วย แต่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งนะ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราก็ดูแลรักษา เรือของเราถ้ามันจะรั่ว มันจะชำรุดเสียหายเราก็ดูแลรักษาของเราไป นี่เวลาพูดถึงร่างกายนะ

คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ถ้าเราเกิดในสถานะของมนุษย์ เพราะมีกาย ปฏิสนธิในไข่ในครรภ์ ในน้ำครำในโอปปาติกะ การเกิดกำเนิดมันมีอยู่แล้ว เพราะกำเนิดแล้วในสถานะใดถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์มันก็มีกายกับจิตใจ มันเป็นสิ่งที่มีอำนาจวาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์ครูบาอาจารย์ของเราก็เป็นมนุษย์เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังธรรมจากมนุษย์ ทำไมมนุษย์มันดีกว่าเทวดา อินทร์พรหมตรงไหนเทวดา อินทร์พรหมเขาเกิดมาเป็นทิพย์สมบัติของเขา เขาไม่มีร่างกายขึ้นมา เขาอิ่มทิพย์ๆ ของเขาถ้าไม่มีสติปัญญาของเขา เขาก็เพลิดเพลินในชีวิตของเขา เวลาเขาหมดอายุขัย เขาก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ

เทวดาอินทร์ พรหมที่เขามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เขามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเขาจะพัฒนาใจของเขาถ้าใจของเขาพัฒนาของเขาขึ้นมาได้ เทวดาเขาเลื่อนชั้นของเขาขึ้นไปได้นะ เทวดาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นแสนเป็นล้านทำไมเขาสำเร็จของเขาได้ล่ะ เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ เวลาสะอาดบริสุทธิ์นี้พูดถึงอะไร พูดถึงอริยสัจพูดถึงสัจจะความจริง พูดถึงสัจจะความจริง ความจริงอันนั้น กับที่เขาฟังธรรม จิตใจของเขาได้ฟังธรรมแล้วเขาภาวนาของเขา ปัญญาของเขา มรรคเกิดในใจของเขา เขาถึงเป็นพระอรหันต์ของเขาขึ้นมาได้

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่ว่ามีร่างกายกับจิตใจนี้ เวลามีร่างกาย ทุกคนเกิดมาแล้วมีสถานะ มีชาติมีตระกูล เวลามีชาติมีตระกูลชาติตระกูลนั้น เราเกิดในชาติตระกูลใด ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เกิดมามีเชาวน์มีปัญญาเราก็จะพาชีวิตของเราราบรื่นไปแต่คนเกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมาทุกข์ยากอำนาจวาสนาของเรามีสิ่งใดสมความปรารถนา แต่ด้วยเวรด้วยกรรมก็มีกรรมบังตาให้มีความเห็นความเข้าใจของเราบิดเบือนเราไป ก็ทำให้ชีวิตนี้ทุกข์ยากไป แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เรามีร่างกายกับจิตใจร่างกายนี้ ดีเอ็นเอตรวจแล้วเป็นของพ่อแม่ทั้งนั้นน่ะกรรมพันธุ์มันมีของมัน แต่พันธุกรรมของจิตพันธุกรรมของจิตมันเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล เราเกิดมามีพ่อมีแม่ เราเกิดมามีชาติตระกูล ถ้าชาติตระกูล เราปรึกษาหารือกันได้เราหาทางออกได้เราก็มาบวชพระบวชเจ้ากัน บวชพระขึ้นมาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าบวชขึ้นมาประพฤติปฏิบัติเอาตัวรอดให้ได้ในเมื่อเราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่นั่นเรือลำหนึ่ง เรือลำน้อยก็ออกมาจากเรือลำใหญ่ทอดสมอมาทอดสมอแล้วปล่อยเรือลงมาปล่อยเรือลงมาเพื่อจะเข้าฝั่งๆ

เราเกิดมาดูแม่เป็ดสิ เวลาไปไหน มันว่ายไปไหนนะ ลูกเป็ดมันจะตามไปเป็นแถวเลย นี่ก็เหมือนกันเรามีอำนาจวาสนามา การเกิด พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์เพราะให้ชีวิตเรามาให้การเลี้ยงดูเรามา ดูแลเรามา เราก็กตัญญูกตเวทีเราก็คิดถึง แต่เวลาทำหน้าที่การงานทางโลก เราก็ดูแลรักษา บวชเป็นพระเราก็ดูแลพ่อแม่เราได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตใจเป็นธรรมๆ ถ้าจิตใจไม่เป็นธรรมนะ มันก็จะจมเรือมันทิ้งซะเรามีพ่อมีแม่ เรามีความทุกข์ความยาก เราต้องดูแลรักษา ชีวิตเราก็หมดไป หมดไปวันๆ หนึ่ง มันจะจมเรือของมันไปกิเลสนี้มันร้ายนัก

ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนต่างๆธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็จะจมเรืออันหนึ่งเหมือนกัน จมความเพียรของเราจมความวิริยะความอุตสาหะของเรา ธรรมชาติๆธรรมชาติมันก็ทุกข์ยากอยู่ขนาดนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมา ดูสิ ออกประพฤติปฏิบัติธรรมะเป็นธรรมชาติ สลบถึง๓ หน ธรรมชาติทำไมมันรุนแรงทำไมมันทำร้ายเราขนาดนั้น นี่มันเป็นเรื่องของมารดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่พญามารยกพลมาเลยนะ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหลุดมือเราไปแล้ว จะทำลายบัลลังก์อันนี้ให้ได้เลย” นี่มันเป็นบุคลาธิษฐาน เวลากิเลสมันรุนแรงขึ้นมามันจะล้มทั้งนั้นน่ะ

“เราได้ทำบุญมหาศาลเอาพระแม่ธรณีนี้เป็นพยาน” บีบมวยผมมา มารตายหมดเลย นั่นมารเป็นบุคลาธิษฐานไงแต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชนะมารๆ ชนะมารในใจ ความรุ่มร้อนจากจิตมันไม่สงบทำอานาปานสติจนจิตสงบระงับเข้ามา พอจิตสงบระงับเข้ามา จิตเป็นสัมมาสมาธิเวลาจิตมันละเอียดเข้าไป บุพเพนิวาสานุสติญาณไปรู้ไปเห็นมันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มากสำหรับทางโลก โลกเข้าใจสิ่งใดไม่ได้เลย แต่ทำไมเราปฏิบัติไปแล้วเรารู้ของเราอย่างนั้นล่ะ

ถ้ากิเลสมันครอบงำนะ มันก็บอกนี่นิพพานๆแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรวจสอบมาหมดแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณรู้ขนาดไหน รู้อย่างนี้มันเป็นรู้ของโลกๆ รู้ขนาดไหนก็ดึงกลับมา ทำความสงบของใจให้ละเอียดลึกขึ้นเวลาจิตออกรู้ ออกรู้ก็จุตูปปาตญาณไปอีก มันไปถึงไหนล่ะ ก็ดึงกลับมา ทำความสงบลึกขึ้นไปอีกให้กำลังมากขึ้น เวลาอาสวักขยญาณเข้ามาทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ชนะมารๆ ชนะมารที่นี่ไง นี่สัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประกาศตนประกาศตนกับปัญจวัคคีย์ “อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี ไม่รู้สิ่งใดก็บอกว่าไม่รู้จิตสงบขนาดไหนก็สงบขนาดนั้นน่ะบัดนี้รู้แล้ว จงเงี่ยหูลงฟัง เงี่ยหูลงฟัง” ประกาศตนกับปัญจวัคคีย์เลย อันนี้เป็นธรรมชาติมาจากไหนล่ะธรรมชาติ

สัจธรรมมันเกิดขึ้นที่นี่ ถ้าสัจธรรมเกิดขึ้นที่นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา เวลาสอนขึ้นมาจิตใจที่มันหยาบจิตใจที่มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ปัญจวัคคีย์อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี ๖ ปีนี้เขาก็ปฏิบัติของเขามาจิตใจเขามั่นคงแล้ว เพราะเขาอยากพ้นทุกข์เหมือนกัน

ท่านเทศน์ธัมมจักฯ ไป เทฺวเม ภิกฺขเวฯ ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ

จิตใจที่มันสงบระงับ ธรรมะเป็นธรรมชาติ มีความสุขๆ นั้นก็ไม่ใช่ อัตตกิลมถานุโยค ปฏิบัติทรมานตนมา ๖ ปีสลบถึง ๓ หนก็ไม่ใช่ แล้วมัชฌิมามันเกิดที่ไหนล่ะธรรมจักรมันเกิดจากใจ เกิดอย่างไรล่ะ เกิดอย่างไร มันเป็นธรรมชาติไหมมันต้องคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีขนาดไหนมันได้ถึงสร้างสมมาถ้าสร้างสมมา เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่เดี๋ยวนี้ เราทำของเราอยู่นี่ ไม่ให้กิเลสมันจมเรือเราไปนะ จมความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะของเราไป เราจะเอาเรือของเราเข้าสู่ฝั่งให้ได้ ถ้าเรือเราเข้าสู่ฝั่ง

เวลากิเลสมันหลอกมันหลอนกิเลสมันมีกำลังมากกว่า มันก็ทำลาย ครอบงำเวลาครอบงำขึ้นมา“ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว สิ่งต่างๆ เราก็ปฏิบัติง่ายดาย” นี่กิเลสมันมีอยู่

เรือมันต้องมีผู้บังคับเรือนั้น ถ้ามีผู้บังคับเรือนั้นจิตใจมันมีกิเลสอยู่แล้ว คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ถ้ามันมีกิเลสอยู่แล้วมันก็มักง่าย มันก็พอใจ ถ้ามันพอใจถ้าเชื่อกันไป ใครสอนเรา ใครสอนเรา แล้วเราเชื่อเขาไปได้อย่างไร กาลามสูตรบอกไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ในเมื่อเราก็มีกิเลสอยู่ดูสิ ดูเรือมันแออัดไปหมดเลยนะ การคมนาคมทางน้ำ จนไม่มีทางจะไป แล้วก็เบียดเสียดกันอยู่อย่างนี้ แล้วก็บอกว่า ทางนี้มันเป็นธรรมชาติ ทางนี้มันจะเป็นทางสะดวกทางนี้มันทางสบายไปหมดเลย ไปไหนล่ะ ไปล่มไง ไปล่มทั้งขบวนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใคร ไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์เรามีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ ในเมื่อวุฒิภาวะเรายังไม่ถึงครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการขึ้นมา สิ่งนั้นก็เป็นธรรมๆ

เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจมันผ่องแผ้ว ฟังธรรมตอกย้ำสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตรวจสอบกัน สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วเราเข้าใจจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่เข้าใจจริง มันแยกแยะของมันถ้าสิ่งที่มันเป็นความเศร้าหมองนี้ได้แก้ไข ถึงที่สุดหัวใจมันผ่องแผ้วผ่องแผ้วเพราะอะไร ผ่องแผ้วเพราะใจมันเป็นธรรม ผ่องแผ้วเพราะเรามีจิต เรามีจิต เรามีพลังงานของเราอยู่พลังงานของเรามันโดนอวิชชาครอบงำไว้ สิ่งที่มันมีแต่แรงปรารถนา มีแต่ความคาดหมาย มีแต่ความต้องการมันฉุดกระชากลากหัวใจอยู่นี่ แล้วก็บอกปฏิบัติอยู่ๆสิ่งนี้มันฝังใจอยู่

ฟังธรรมครูบาอาจารย์ครูบาอาจารย์บอกปล่อยให้หมดๆ

อ้าว! จะปล่อยอย่างไร ก็ศึกษามาเพื่อความรู้ ความรู้ของเราจะปล่อยได้อย่างไร

ไอ้ความรู้น่ะความรู้ของอวิชชา ไอ้ความรู้นั้นน่ะมันจะจมเรือมึง เรือลำนี้มันจะโดนทำลายเพราะว่าทิฏฐิมานะเรานั่นแหละถ้าเรามีสติปัญญา เรากำหนดพุทโธของเรา ปัญญาอบรมสมาธิของเราพยายามรักษา

อย่างไรก็แล้วแต่ เรือมันต้องมีเสบียงอาหารไปเพื่อจะออกสู่ทะเลมันต้องมีน้ำจืด มันต้องมีอาหาร มันต้องมีทุกๆ อย่างพร้อม ถ้ามันมีพร้อม เรือมันจะมีแต่เรือกับเราไปสองอย่าง แล้วก็ไปนอนตากแดดกลางทะเลอย่างนั้นหรือ เวลาออกจะกินเหงื่อใช่ไหมเวลามันทุกข์ยากก็เอาเหงื่อนี้ไว้เป็นน้ำกิน เวลาจะหาอาหารก็ต้องอาหารทะเลไงความคิดมันคิดไปได้หมดน่ะจินตนาการได้ แต่ความจริงมันไม่มีความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอกถ้าความจริงไม่เป็นอย่างนั้น เราจะทำของเราอย่างใด

ถ้าเราทำของเรา สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันก็คาดก็หมาย แล้วเวลาฟังใคร กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ศึกษาได้เขาก็ศึกษาได้ครูบาอาจารย์ก็ศึกษาได้ แล้วศึกษา เวลาเทศนาว่าการมามันมีเหตุมีผล มันเป็นความจริงบ้างไหม ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล มันพิสูจน์ได้ มันพิสูจน์ได้จากการประพฤติปฏิบัติของเรานี่แหละ

ถ้าเราปฏิบัติของเรา ถ้าจิตเราสงบขึ้นมามันแตกต่าง มันไม่เหมือนกับอยู่ว่างๆว่างๆ นั่นแหละว่างๆ อวกาศอากาศมันก็ว่างของมันอยู่แล้วจิตใจของเราเป็นนามธรรม จิตใจเป็นนามธรรม มันนึกจินตนาการได้ทั้งนั้น มันจะมีอะไรที่มันจะมีคุณค่าไปกว่าใจ แล้วใจถ้ามันโดนกิเลสครอบงำ แล้วตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาคาดหมายของมันไปมันจินตนาการได้ดีกว่า

ถ้ามีสินค้าที่มีคุณภาพ มันจะมีคนเลียนแบบทุกที มันจะมีคนเลียนแบบ คนเอาสิ่งนั้นไปเพื่อหาผลประโยชน์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ อุตส่าห์สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหนทำไมต้องให้อวิชชา ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำให้เอาสิ่งนั้นไปบิดเบือนแล้วเราไปเชื่อทำไม เราก็เป็นชาวพุทธพระพุทธศาสนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทโธๆ เวลาจิตสงบเข้ามาแล้วพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ในหัวใจเราทั้งนั้นน่ะทำไมต้องไปเชื่อให้คนอื่นครอบงำทำไมจะต้องเอาเรือของเราไปให้คนอื่นเขาเบียดเสียดทำให้มันเสียหาย

เพราะเราไม่รักษาเรือเราเองเราไม่รักษาหัวใจของเราเอง เราไม่ดูแลของเราเอง ถ้าเราดูแลของเราเองเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก การประพฤติปฏิบัติมันต้องเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ถ้ามันเกิดขึ้นจากใจของเรา เรามีสติมีปัญญา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราต้องการทรัพย์สมบัติอย่างนี้

ทรัพย์สมบัติทางโลก คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนทุกข์คนยากเขาช่วยเหลือเจือจานกันได้ เวลาจิตใจของเราเวลาทุกข์เวลายากขึ้นมาใครจะช่วยเหลือเจือจานใคร เวลาโศกเศร้าโศกสลดมา ก็ได้แต่ปลอบประโลมกันจากภายนอก แล้วเวลาปลอบประโลมจากภายนอกก็ซึ้งน้ำใจเขา เวลาเขาจะชักนำอย่างไรก็ไปกับเขา ถ้าไปกับเขาแล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไร

เวลาเขามีคุณกับเรา เวลาเราทุกข์เรายาก เขามีคุณกับเรา เราก็กตัญญูกับเขา เราก็เห็นคุณค่า เห็นน้ำใจของมนุษย์ถ้ามนุษย์มีน้ำใจต่อกัน เราก็ชื่นชมกับน้ำใจแบบนั้นแต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา น้ำใจ ศรัทธาความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ เขาจะมีน้ำใจกับเราขนาดไหน น้ำใจนี้เราก็ทดแทนเขาด้วยน้ำใจ เราก็ทดแทนเขาได้ เราก็ช่วยเหลือเจือจานเขาได้

แต่สัจธรรมมันทดแทนใครสัจธรรมมันทดแทนกันไม่ได้อริยสัจเกิดขึ้นมาจากใจดวงใจก็ใจดวงนั้นแหละเป็นผู้ที่ชำระล้างกิเลสถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงจากใจดวงไหน ใจดวงนั้นมันก็มีธรรมาวุธ มันก็มีธรรมโอสถที่จะไปชำระล้างเข้าไปประหัตประหารกิเลสของตัวเอง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ท่านจะบอกจะเรียบจะง่ายอย่างไรมันก็เรื่องของท่าน อำนาจวาสนาเขามีขนาดนั้น เขาก็คิดได้ของเขาขนาดนั้น กิเลสมันจะจมเรือลำนั้นไป เรือลำนั้นมันจะจมอยู่ในโอฆะ มันจะข้ามพ้นจากโอฆะไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราจะทำของเรา เราจะดูแลเรือของเรา เรือของเราถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมากนะ มันจะเอียงกระเท่เร่ มันจะไปเจอคลื่นซัดมันก็ล้ม

ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราทำความจริงของเรา ใครจะทุกข์ใครจะยาก เรือคนละลำ ต่างคนต่างจะพาเรือของตัวเองเข้าฝั่ง ในเมื่อเราเป็นสังคมเราเกิดมาอยู่ในสังคม สังคมของสัตว์โลกมันก็ต้องมีการช่วยเหลือเจือจานกันเป็นธรรมดา ในเมื่อเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ” ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเรามีน้ำใจต่อกัน มันเป็นคุณงามความดี คุณงามความดีนะ ความดี ทานศีล ภาวนา การเสียสละเจือจานต่อกันมันเป็นระดับของทานระดับของทานนะเราก็จะให้กัน เจือจานกันอยู่อย่างนั้น มันจะจบสิ้นกันที่ไหนล่ะ เราเจือจานกันเพื่อประโยชน์เท่านั้นเอง นี่ทาน

ศีลคือความปกติของใจเราต้องการความสงบระงับ เราต้องการสถานที่เป็นสัปปายะ เราต้องการที่สงบ เราต้องการเพื่อจะดูแลใจของเรา เรามาหาอริยทรัพย์หาความจริงของเรา เราจะไม่อยู่ระดับของทานแล้วก็จะคลุกคลีจะเฮกันไปก็เฮกันมาตามกระแสสังคมอย่างนั้นหรือ สังคมที่ดีก็สังคมที่ดี เพราะสังคมที่ดี เพราะเรามีความกตัญญูมีน้ำใจต่อกัน มันทำให้สังคมนั้นร่มเย็นเป็นสุข สมควรที่เราจะประพฤติปฏิบัติ สังคมที่มันเดือดร้อน สังคมที่แย่งชิงกัน สังคมที่มีแต่ความขัดแย้งเราจะไปนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้นหรือ

เราจะภาวนา สังคมมันต้องสงบระงับเพื่อความร่มเย็นใช่ไหม เราถึงจะภาวนากัน ถ้าเราภาวนาขึ้นมาความปกติของใจมันระดับของศีลวุฒิภาวะมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้าวุฒิภาวะพัฒนาขึ้นไป เราจะเห็นว่าการสงบระงับ จิตปกติมันจะมีคุณค่าขึ้นมาเพราะมันไม่คึกคะนอง

จิตที่คึกคะนองมันดีดดิ้นในใจ หัวใจนี่นะ อยู่กับเรานี่แหละ มันดิ้นโครมๆๆ มันจะเอาแต่ใจของมันมันจะเอาแต่ตามแรงปรารถนา สิ่งนั้นมันเป็นความจริงหรือ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ ศีลเข้าไปสงบระงับ ก็จะไปเอาสิ่งที่จิตมันคึกคะนองไม่ให้มันคึกคะนอง ไม่ให้มันดิ้นรนกวัดแกว่งในใจของเรา ถ้าไม่ให้มันดิ้นรน เรารักษาสิ แล้วเรามีศีล ศีลคือความปกติของใจ แล้วถ้ามีศีลแล้วเราต้องมีสติมีปัญญา

ธรรมนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐที่เลอเลิศมาก ไม่อยู่กับคนโง่ ไม่อยู่กับคนมักง่าย ไม่อยู่กับคนเห็นแก่ตัวไม่อยู่กับคนพลุกพล่าน ไม่อยู่อย่างนั้น ฉะนั้นครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติท่านอยู่ป่าอยู่เขาท่านพยายามหลีกเร้นไป หลีกเร้นไปเพื่อหาตัวเองให้เจอ

ดูสิ เวลาคนที่คอยดูแล คนที่คอยช่วยเหลือเจือจานเขา เขาจะไม่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้มีกำลังขึ้นมา แต่ถ้าเขาจะฝึกหัดของเขา นักกีฬาทุกชนิดเขาต้องฝึกออกกำลังกายของเขาถ้าเราอยู่คนเดียวของเรา เราฝึกหัดของเรา เราพยายามทำตัวของเรา มันหาอยู่หากินของมันเป็น อยู่ในป่าในเขาก็หาที่อยู่อาศัย เวลามีภัยขึ้นมาก็ปีนขึ้นต้นไม้หลบภัยเสียธรรมชาติจะบีบคั้นให้เขาฝึกหัดตัวเขาเพื่อเอาชีวิตรอดของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราจะรักษาใจของเรามันต้องย้อนกลับมาที่ใจของเรา ถ้าย้อนกลับมาที่ใจของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้วิมุตติสุข สุขอันนี้สุขอันประเสริฐเป้าหมายของชาวพุทธเรา ชาวพุทธเราถึงที่สุดแห่งทุกข์คือไม่อยากจะมาเกิดอีกอยากจะได้ความสุขอันแท้จริงความสุขอันแท้จริงถ้าเป็นโสดาบันเป็นสกิทาคามีเป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มันเป็นอกุปปธรรมความสุขอันแท้จริงคือมันอฐานะที่มันไม่เปลี่ยนแปลง

ความสุขที่เราหากันอยู่นี่ความสุขที่เป็นอยู่ของเรามันเปลี่ยนแปลง เวลาได้สัมผัส ได้เสพ สิ่งนั้นก็มีคุณค่า สิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์กับเรา แล้วก็ต้องซ้ำๆๆ อยู่อย่างนั้นแล้วซ้ำขึ้นไปแล้วมันก็จืดชืดไปเรื่อยมันก็ไม่มีคุณค่ามากขึ้น คนเราก็ต้องเสพมากขึ้นๆความสุขอย่างนี้มันเป็นความจริงที่ไหนล่ะ มันไม่เป็นความจริง เห็นไหม

เราเป็นชาวพุทธ เราต้องถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราต้องการความสุขอันแท้จริง ความสุขอันแท้จริงคืออกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะจิตใจที่มันโลเลอย่างนี้ จิตใจที่มันเหลวแหลกอย่างนี้แล้วมันบอกว่ามันจะเอาความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงๆมันจะไปหาจากที่ไหนล่ะ มันก็หาจากความเหลวไหลนี่แหละ หาจากความโลเลนี่แหละ แต่เพราะมีธรรมๆ ที่เตือนสติฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติตัวเอง ถ้าเตือนสติตัวเอง ตัวเองมีสติปัญญาขึ้นมาคุณงามความดีมันอยู่ที่ไหน คุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ครูบาอาจารย์เราอยู่ในป่าในเขาเพื่อค้นหาใจของท่านให้เจอ ถ้าค้นหาใจของท่าน

ดูสิ ไก่มันได้พลอย เวลาไก่มันได้พลอย มันเจอพลอยมามันยังว่าพลอยไม่มีคุณค่าเลย มันต้องการข้าวเม็ดเดียว นั่นไก่ได้พลอย คือคนที่เวลาจิตเขาดี จิตเขามีกำลังขึ้นมาเขาไม่รู้จักใช้ประโยชน์ของเขาเพราะเขาไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำเห็นไหม

ไก่ได้พลอยนะ มันกินไม่ได้ มันได้ข้าวสารมันยังกินของมันได้ เราก็เหมือนกัน เราปฏิบัติของเราข้าวสารมีทุกวันข้าวสาร ดูสิ ปฏิบัติคุยกันปากเปียกปากแฉะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ไปหมดเลย นี่ข้าวสาร เราไม่ต้องการข้าวสารเราต้องการพลอยเพราะพลอยมันไม่บูดไม่เน่า ข้าวสารถ้ามันเก็บไว้ไม่ดีมันก็แห้งตาย แห้งตายคือมันปลูกไม่ขึ้น ถ้าเก็บไว้ในความชื้นมันก็งอกเลย จะเอามากินเป็นอาหารก็ไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนแปลง สพฺเพธมฺมา อนตฺตา

อกุปปธรรมเห็นไหม ที่เป็นพลอยไปแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลง เราต้องการสิ่งนั้น มันกลับกันน่ะ คนที่ไม่รู้ไม่เห็นเขาก็ไม่รู้จักประโยชน์ของเขา แต่ไอ้เรารู้เราเห็น เรารู้จักประโยชน์ของเราเราก็ทำของเราไม่ได้ขึ้นมาเพราะกิเลสมันอยู่กับใจของเรา มันทำลายไปหมดนะ ถ้ามันไม่จมทำลายไปเสียเราก็เอียงกระเท่เร่เรือของเรามันไม่เป็นปกติ ไม่เป็นปกติเพราะกิเลสในใจของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกันเพราะจิตใจของคนมันต้องการตามแรงปรารถนา แรงปรารถนาคืออะไรคือตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง สิ่งที่ล้นฝั่ง แล้วเมื่อไหร่มันจะหยุดระงับเสียที จิตใจเราเมื่อไหร่มันจะสุขสงบระงับเสียทีเราก็พยายามจะยับยั้งกันอยู่นี่

ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ เราเกิดมาเรามีเรือมาแล้ว มันจะดีมันจะชั่วมันก็เรือของเรา เกิดมาในสถานะของมนุษย์ถ้าเรามีจิตใจที่เราศึกษาของเราขึ้นมา เราเชื่อในพระพุทธศาสนาเราเชื่อในเหตุในผล เหตุและผลรวมลงสู่ธรรม เหตุผลมีจริงๆ เราเป็นนักเหตุผล พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาคือนักทดสอบ นักทดสอบ นักพิสูจน์ชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่พิสูจน์ทุกๆ อย่างมา ทุกๆ ลัทธิไปศึกษากับเขามาหมดแล้ว สุดท้ายแล้วพิสูจน์อย่างไรมันก็ไม่มีความจริงขึ้นมาให้พิสูจน์ได้เลย เพราะจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงส่งกว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องพิสูจน์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พิสูจน์กันด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณพิสูจน์กันด้วยสัจจะความจริง ถ้าพิสูจน์อย่างนี้แล้วเราจะก้าวเดินอย่างใด

พอเราบอกถึงมรรคถึงผลจิตใจมันไม่กล้าแล้ว จิตใจมันบอกว่ามันสูงส่งเกินไปสูงส่งเกินไป แล้วเวลาทุกข์ทำไมไม่สูงส่งล่ะ เวลาทุกข์ในใจ ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง เราก็อยู่กับอริยสัจ เราก็อยู่กับความจริง เห็นไหม มืดอยู่คู่กับสว่าง มืดที่ไหนเปิดไฟมันก็สว่างที่นั่น ถ้ามืดที่ไหนนะพอเปิดไฟแล้วความมืดมันก็หายไป ทุกข์มันอยู่กับเรา ถ้าละสมุทัยขึ้นมามันก็เป็นนิโรธนิโรธมันก็เป็นความดับทุกข์ แล้วทุกข์มันอยู่กับเราแต่เราเปิดไฟไม่เป็น

บอกว่า ที่มืดที่ไหน พอเปิดไฟก็สว่าง

เปิดไฟสว่างมันเปิดไฟด้วยอริยสัจ เปิดไฟด้วยความวิริยะ ด้วยความอุตสาหะ ด้วยความเป็นจริง มันไม่ใช่เปิดไฟแบบมักง่าย ที่ไหนมืดเปิดไฟก็สว่าง มันเปิดไฟสว่าง เอดิสันมันเป็นคนคิดให้ เอดิสันเป็นคนคิดหลอดไฟไง มันเป็นคนคิดไฟฟ้ามาให้เราใช้กันอยู่นี่ ถ้าใช้กันอยู่นี่มันเป็นคิดแบบโลกๆไง แต่เมื่อเราเปิดไฟสว่าง มันสว่างที่ไหนล่ะ มันสว่างที่ไหน

จิตใจมันทุกข์ยากอยู่นี่เวลาสิ่งนี้ ดูสิ ของสกปรกโสโครกขนาดไหน เขาทำความสะอาดขึ้นมามันก็สะอาดขึ้นมาได้ แต่เวลาจิตใจ จิตใจที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่นี่มันมืดมันสว่างมาจากไหน นี่เป็นบุคลาธิษฐาน เขาเปรียบเทียบมาจากข้างนอก เปรียบเทียบมาจากโลกเปรียบเทียบมาจากวิทยาศาสตร์เราก็ไปติดที่ตรงนั้น แล้วก็บอกว่าสิ่งที่มืดกับสว่างก็ทำได้ง่าย มันจะจมเรือมันแล้วนะน่ะกิเลสมันจะจมโอกาสของตัวเองแล้วล่ะ เพราะตัวเองไปเชื่ออย่างนั้น

ถ้าไปเชื่ออย่างนั้นนะ แล้วกระแสสังคมที่เขาพยายามชักนำกันอยู่ก็จะไปเชื่ออย่างนั้น นี่กิเลสมันจมเรือ จมโอกาส จมการกระทำหมดเลย แล้วพอหูตาสว่างขึ้นมา จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเคยตัวเสียแล้ว มันเคยตัวที่ไม่เอาไหน มักง่าย อยากเอาแต่ใจ พอจะมาเอาจริงเอาจังขึ้นมาน่ะ อัตตกิลมถานุโยค

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วางมัชฌิมาปฏิปทาเสียเององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นศาสนานี้มาด้วยการสร้างสมเป็นพระโพธิสัตว์มา ๔อสงไขย ๘ อสงไขย๑๖ อสงไขย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่วางธุดงควัตรไว้เอง ธุดงควัตร ธุดงค์ ๑๓ นี้เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ในเมื่อคนบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอแล้วธรรมวินัยประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ถ้ามันไม่เจริญก้าวหน้า ปฏิบัติแล้วมันอั้นตู้ปฏิบัติแล้วมันไปไม่รอด เห็นไหม มีธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส

ถ้าเครื่องขัดเกลากิเลส พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธุดงควัตรเนสัชชิก ไม่นอนทั้งคืน ฉันอาหารหนเดียว ถือผ้า ๓ผืน มันจะเป็นอัตตกิลมถานุโยคไปไหน ในเมื่อเจ้าของศาสนา ผู้ที่เป็นผู้บัญญัติ ผู้ที่เป็นคนสั่งสอนมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง ผู้ที่เป็นผู้วางทางสายกลางไว้ แล้วบัญญัติสิ่งนี้ไว้ ผู้ที่วางทางสายกลางจะบัญญัติสิ่งที่ขัดแย้งกับทางสายกลางมาจากไหนแต่ไอ้กิเลสในใจของเรามันก็มาอ้างเวลามันจะเอาสะดวกเอาสบายมันอ้างไปหมดเลยมัชฌิมาปฏิปทาคือความพอใจของเราถ้ามัชฌิมาคือความพอใจของเรากิเลสมันก็ขี่หัวอยู่มันก็จมโอกาสของเราทิ้งเสีย

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราพยายามทำของเราเราแก้ไขของเราพลิกแพลงของเราเพื่อจะหาใจของเราถ้าเราเห็นใจของเรา เรือลำนั้นมันจะมีเทคโนโลยีจะพาเรือนั้นเข้าสู่ฝั่ง เห็นไหม เรือมันมีเข็มทิศ มันมีทุกอย่างพร้อมที่มันจะพาเรือเข้าฝั่งได้

จิตถ้ามันสงบแล้ว ถ้าเราทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา มันไม่วิตกกังวล คลื่นลมจะแรงขนาดไหน เราก็มีสติปัญญาจะพาเรือฝ่าคลื่นลมนั้นไป แต่ถ้าจิตของเราไม่เคยสงบเลย จิตเราไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย ไม่ต้องคลื่นมาหรอก เรานี่จะล่มเรือเราเองเพราะมันทุกข์มันยาก มันไม่มีทางไปมันไม่มีทางออก ไม่ต้องมีคลื่นมา มันล่มเองเลย ล่มเรือนั้นน่ะ แล้วก็บอกว่า“เห็นไหม มรรคผลมันไม่มี ปฏิบัติมาตั้งนานแล้วไม่เห็นได้ผลเลย” นี่มันล่มเรือมันแล้ว แต่ถ้าเรามีครูมีอาจารย์นะ เราติดขัดมาขนาดไหนเราพยายามของเรา

เวลาคนเวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏะ ทุกคนมีเวรมีกรรมทั้งนั้น เวลาพระโมคคัลลานะ ขนาดว่าเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เวลาถึงที่สุดแล้วเป็นพระอรหันต์ด้วยทำไมให้โจรมันทุบตายล่ะ โจรมันทุบตาย เวรกรรมที่ได้ทำแม่ไว้ ขณะที่ทำแม่ไว้ตกนรกอเวจีไปขนาดไหนแล้วผ่อนกรรมนั้นเบามาเรื่อยๆ จนมาสร้างอำนาจวาสนา จนมาสร้างบุญกุศลคู่มากับพระสารีบุตร จนมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายนี้สิ้นจากกิเลสแล้วโจรยังมาทุบตาย นี่การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ ผลของเวรผลของกรรมทุกดวงใจมีอยู่ แม้แต่สิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้วมันก็ยังมีเศษกรรมตามไป

แล้วเรา เราจะเอาความจริงของเรา เราจะไปท้อแท้สิ่งใด เราจะไม่ท้อแท้สิ่งใดเลยใช้สติปัญญาเราแยกแยะ สิ่งที่มันพอกพูนในใจของเรามันมีแต่ความโลเล ความไม่เอาไหน ความมักง่ายแล้วมันก็จะทำลายถ้าเรือไม่ล่ม มันก็เอียงกระเท่เร่ พอเอียงกระเท่เร่ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอมัชฌิมาปฏิปทาธุดงควัตรต่างๆ สิ่งนี้เราทำได้ ถ้าเราทำของเราขึ้นมามันจะขัดเกลานะ

เมื่อก่อนไม่ได้ทำ เราก็พยายามขวนขวายของเรามันก็ลุ่มๆ ดอนๆทั้งนั้นน่ะ แต่พอเราทำขึ้นมา พระเราเวลาเข้าพรรษาเขาอธิษฐานพรรษา อธิษฐานธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่งใครจะอธิษฐานกี่ข้อก็แล้วแต่ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ธุดงค์ ๑๓ เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เวลามันทำสิ่งนั้นแล้วมันลุ่มๆดอนๆ แต่ลุ่มๆดอนๆ เราก็มีสัจจะสัจจะถือสัจจะความจริง สัจจะดูสิ นั่ง ๕ นาที ๑๐นาที เราตั้งสัจจะไว้แล้วถ้ามันนั่งแล้วขณะที่ ๕ นาที ๑๐นาที มันก็ไม่ได้ผลแต่เราก็ตั้งสัจจะของเราไว้ ครบ ๕นาที ๑๐ นาที มันก็ภูมิใจ มันมีสัจจะแล้ว ภูมิใจว่าเราทำได้ เราทำได้ เราทำของเราได้ แล้วเราทำต่อเนื่องไปทำต่อเนื่องไป ถ้าเรามีสัจจะอย่างนี้กิเลสมันกลัว

เพราะถ้าเราไม่มีสัจจะใช่ไหม พอนั่ง ๕ นาที๑๐ นาที มันก็แหย่แล้ว “ไม่ได้ นั่งไม่ได้ มันทุกข์ นั่งแล้วมันจะมีปัญหา” นี่มันจะจมเรือแล้วนะ มันจะจมของเรา การทำงานของมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้การทำงานของกิเลส พญามารพญามารมันมีลูกมันมีหลาน มันมีเหลน พญามารมันมี ถ้าพญามารกิเลสที่ละเอียดๆจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

เวลาปู่ของกิเลสนะ พญามารมันละเอียดลึกซึ้งมันไม่ใช่ความโลภ ความโกรธความหลง ไม่ใช่สิ่งที่โต้แย้งในใจมันเป็นแค่ความสว่างไสว ความผ่องใส ความเฉาความเหงา ความหงอย นี่กิเลสละเอียดๆ เวลากิเลสละเอียด เวลาปู่ย่ามันทำงานกันอย่างนั้นน่ะ แต่เวลามันให้ลูกให้หลานมันทำ ให้ลูกให้หลาน“นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี” ไอ้นี่ลูกหลานมันทั้งนั้นน่ะ มันยังไม่ได้เป็นลูก เป็นพ่อมันเลย ถ้าไปเจอพ่อมัน ไปเจอกามราคะน่ะหงายท้องไอ้นี่แค่จะปฏิบัติมันให้เด็กๆ มาแหย่ มันจะจมเรือแล้วนะ เรือนี้รวนเรไปหมดเลย เรือนี้ไปไม่เป็นแล้ว

ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสัจจะของเรา เรามีสัจจะเราตั้งสัจจะของเราเราทำของเราขึ้นมา ทำของเรา ตั้งสัจจะ จิตสงบไม่สงบนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเวลาตั้งสัจจะขึ้นมาแล้วจิตสงบด้วย แล้วมีปัญญาขึ้นมาด้วยเราจะภูมิใจมากภูมิใจเพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันไม่ได้ฟังใครมามันไม่ได้ไปก็อปปี้ไม่ได้ไปฉ้อฉลเอาธรรมะของใครว่า“ธรรมะเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวจะเจอกันเอง เดี๋ยวจะรู้กันเอง” นี่เราเคยคิดอย่างนั้น แล้วก็คาด ก็หมาย ก็หวังก็รอ แล้วไม่เจอสักที

แต่ถ้าเราตั้งสติกำหนดพุทโธใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ ทำไมถึงเป็นสมาธิล่ะ เป็นสมาธิเพราะจิตมันปล่อยวาง มันปล่อยวางสัญญาอารมณ์เข้ามา ตัวใจมันเป็นอิสระ พอใจเป็นอิสระ คนเราแบกหามของหนักมาทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดมา เครื่องยนต์นี้ติดแล้วไม่เคยดับแม้แต่นอนก็ฝันแล้ววันใดวันหนึ่งมันได้วางภาระที่แบกหามมาตั้งแต่จุติ ตั้งแต่เกิดในครรภ์เลย เกิดในครรภ์มันก็วิตกกังวลแบกหามมาจากในครรภ์ แล้วเวลาพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางสิ่งที่เป็นภาระแบกหามมาตลอดชีวิต ความที่แบกรับภาระมากับความปล่อยวางแตกต่างกันอย่างใด

แต่ในปัจจุบัน ดูกิเลสลูกหลานมันบอก“ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความว่าง เราทำใจให้เป็นความว่างก็จะมีความสุข” มันก็ไปแบกหามความว่างไงมันไปแบกหามความว่าง มันไม่ใช่ตัวมันว่าง พอมันไปแบกหามความว่างแล้วก็หลง หลงว่า“อืม! เวลาภาวนาไปแล้วมันว่างๆ มันมีความสุข มันเป็นของดี ภาวนาแล้วก็ดี มันสดชื่น” นี่กิเลสมันหลอกทั้งนั้นเลย มันทำให้เรือนี้เอียงกระเท่เร่เลย มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเวลามันปล่อยวางปล่อยวางสัญญาอารมณ์ ไอ้ว่างๆนั่นก็ชื่อ ไอ้ที่ว่าธรรมะเป็นความว่าง เราก็ได้ชื่อเท่านั้น มันไม่เป็นความว่างจริง ถ้ามันเป็นความว่างจริง มันพูดไม่ได้เราจะพูด ความคิดความคิดเกิดจากจิต สัญญาอารมณ์เกิดจากจิต จิตนี้เป็นธรรมชาติธรรมชาตินะธรรมชาติที่มีกิเลสนะ เดี๋ยวว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ จิตนี้เป็นธรรมชาติได้อย่างไร

จิตนี้เป็นธรรมชาติที่รู้ มันเป็นพลังงานพลังงานที่ว่าสิ่งที่มีชีวิต สันตติ มันเป็นธรรมชาติที่รู้ แล้วพอรู้ ความคิดเกิดจากพลังงานอันนี้พอความคิดเกิดจากพลังงานอันนี้เพราะธรรมชาติที่รู้มันมีอวิชชา พอธรรมชาติที่รู้มีอวิชชา เวลาเราคิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอวิชชา สัญญาสัญญามันก็เกิดสัญญามันเกิดขึ้นสัญญา “ธรรมะเป็นความว่าง สัจจะเป็นความว่างสมาธิเป็นความว่าง”...มันเป็นสัญญา พอสัญญาสังขารมันก็ปรุงปรุงความว่าง ถ้ามันปรุงความคิดความทุกข์ความยากขึ้นมา อันนี้เป็นกิเลส

พอเวลามันปรุงความว่างไงธรรมะเป็นความว่าง เราคิดถึงเรื่องความว่าง มันก็ว่างที่ความคิด มันว่างที่สัญญานั้น พอสัญญานั้นธรรมชาติที่รู้มันก็แบกความว่างอันนั้น ว่าความว่างเป็นอย่างนั้น มันก็เลย “ปฏิบัติธรรมแล้วมันก็ว่างปฏิบัติธรรมก็สุขสบาย” นี่มันพูดได้มันพูดได้เพราะอะไร มันพูดได้เพราะมันเป็นสัญญา สังขารวิญญาณ มันเป็นขันธ์ ๕ มันก็พูดได้

แต่เวลาจิตมันปล่อยวางภาระหมดเลย ธรรมชาติที่รู้มันปล่อยขันธ์ ๕มาหมดเลย มันเป็นตัวมันเอง มันจะพูดอะไรล่ะ มันจะพูดอะไร มันทิ้งขันธ์เข้ามา มันทิ้งภาระมามันจะพูดอะไรล่ะมันก็พูดไม่ได้ พอมันพูดไม่ได้นะ อืม! อืม! อืม! นี่ถ้ามันเป็นความจริง เราต้องทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาอย่าให้กิเลสมันจมเรือซะ

กิเลสถ้าไม่ทำสิ่งใดเลยมันก็จมเรือ ทำลายเรือไปเลย ถ้าไม่สนใจในศาสนา ไม่สนใจในการประพฤติปฏิบัติเรือนี้มันต้องชำรุดอยู่แล้ว อายุขัย๑๐๐ ปีต้องตายแน่นอน มันจมอยู่ในโอฆะอยู่แล้วธรรมชาติมันจมของมันอยู่แล้ว แต่ของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราไม่เป็นความจริงของเราเราจมเรือ จมโอกาส จมคุณงามความดี จมมรรคจมผลของเราทั้งๆที่เรือมันยังลอยอยู่ถ้าเรามีสติปัญญาถ้าจิตสงบเข้ามามันมีเข็มทิศ มันจะพาเรือเข้าฝั่ง ถ้าพาเรือเข้าฝั่ง มันจะเข้าฝั่ง มันจะเอาอะไรเข้าล่ะ

ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องศีล สมาธิปัญญา ปัญญามันจะเกิดขึ้นอย่างไรล่ะ ปัญญามันจะเกิดขึ้นอย่างไร คนที่จะเอาเรือเข้าฝั่งมีเข็มทิศแล้วเอ็งจะเดินเรืออย่างไร ถ้าจะเดินเรือ ดูสิ เวลาจิตสงบแล้วพิจารณาให้เห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมของใกล้ตัว ของกับเรานี่แหละ คนเราเกิดมามีกายกับใจถ้ามีกายกับใจเพราะอะไร เพราะเกิดมาจากมีอริยทรัพย์ เพราะเราเกิดมามีอริยทรัพย์เราถึงเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เพราะมีร่างกาย ร่างกายก็บีบคั้นมา ต้องกินอาหาร เราก็ต้องหาอาหารมาเลี้ยงร่างกาย ได้เสพอาหารแล้วเราก็มีความสุข ความสุขนี้เราก็มีความพอใจ เห็นไหม นี่กายกับใจ

ถ้ามีกายกับใจ ของใกล้ตัวนี่แหละ แต่เราใช้ชีวิตของเราโดยธรรมชาติของเราโดยประเพณีวัฒนธรรม แล้วมันก็ตอกย้ำอยู่กับประเพณีวัฒนธรรมอย่างนั้นน่ะ มันเลยไม่เห็นความจริง ไม่เห็นความสุขขึ้นมาไง แต่พอจิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นกายจิตเห็นกาย ไม่ใช่ตาเห็นกาย สัญญาเห็นกาย นึกเห็นกาย ถ้าเห็นกายถ้าสัญญาเห็นกายนึกเห็นกาย คนเราถ้ายังดิบๆ อยู่ เรือเรายังโคลงเคลงอยู่ เรือยังไม่มีหางเสือ เรือยังไม่มีเข็มทิศ เขาให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปดูซากศพ ให้เปรียบเทียบไงว่า ถ้าไปเห็นคนตาย เห็นกายนอกมันจะเป็นอย่างไร ถ้าเห็นกายนอกขึ้นมาแล้วมันก็สลดสังเวช คนเราก็มีเท่านี้เอง คนอื่นเขาเกิดมาแล้วก็ตาย เราเกิดมาก็ต้องตาย มันก็สลดสังเวช มันภาวนาก็ง่ายขึ้น นี่เวลาเขาเห็นด้วยตาเนื้อ ถ้าเห็น ในสังคมโลกเขาเห็น เขาเห็นอย่างนี้ เห็นคนเวลาไปดูซากศพที่ป่าช้า ไปดูซากศพคนอื่น ไปดูพวกประสบอุบัติเหตุมันก็สลดสังเวชเข้ามา สลดสังเวชแล้วทำอย่างไรต่อ สลดสังเวชขึ้นมา ๒-๓วันแรกสลดสังเวชพอไปแล้วเดี๋ยวมันดื้ออีกแล้ว ๒-๓ วันกิเลสมันขี่หัวอีกแล้ว หงุดหงิดอีกแล้ว นี่กายนอก

เวลาว่าจิตเห็นกายๆ มันไม่ใช่ตาเห็นกายถ้าตาเห็นกาย มันเป็นวุฒิภาวะของจิตที่มันยังไม่สงบมา มันก็ต้องไปอาศัยอสุภะ ไปอาศัยซากศพนั้นมาเป็นเครื่องดำเนิน มาเป็นคำบริกรรม มาเป็นสิ่งที่ให้จิตมันเกาะไว้เพื่อให้จิตมันปล่อยวางเข้ามาปล่อยขันธ์ ๕ นั่นแหละ ปล่อยภาระนั่นแหละ แต่มันจะปล่อยภาระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถึงวางธรรมและวินัย วางวิธีการ วางกลอุบายไว้ให้จิตมันพัฒนาขึ้นมา ถ้าใครทำได้มันจะรู้จะเห็นจริงตามความเป็นจริงของมัน ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ใครทำได้จะรู้จริงเห็นจริง มันจะเข้าใจตามความเป็นจริง

ไอ้นี่มันศึกษาธรรมะมานกแก้วนกขุนทองมันท่องจำขึ้นมามันพูดร้อยแปดพันเก้าเลย มันจะจมเรือมัน มันจะเอาเรือมันลงสู่ก้นทะเล เพราะว่ามันศึกษามา ศึกษามาจนเรือหนัก เรือนี้หนักมาก ไปไม่รอดเลย เรือน้ำหนักมันเกิน น้ำจะเข้า มันจะจมเรือมัน

แต่ถ้าเราศึกษามา ศึกษาปริยัติมา แล้วเราก็ทำความเป็นจริงสิทำให้มันเกิดขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาก็เห็นกายถ้าจิตสงบนะ ถ้าจิตไม่สงบนะ ตาเห็นกาย ไม่ใช่ใจเห็นนะ ตาเห็นสัญญาเห็น ความรู้สึกเห็น ไม่ใช่จิตเห็น แต่ถ้าจิตสงบแล้วถ้าจิตมันเห็นกาย มันจะมีแผนที่เดินเรือ มันจะพาเรือเข้าฝั่ง ถ้าพาเรือเข้าฝั่ง พิจารณาพิจารณาถ้าจิตมันสงบ พิจารณา ถ้าเป็นเจโตวิมุตติเห็นกายแล้วรำพึงให้มันเป็นไตรลักษณ์ ให้มันแปรสภาพให้เห็นๆ ฝึกหัดบ่อยครั้งเข้า ถ้ามันฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าจะมีความชำนาญมากขึ้น ถ้าฝึกหัดบ่อยครั้งขึ้นๆ จิตนี้มันจะจับกายไม่ได้จับกายไม่ได้เพราะว่า ถ้าเราใช้ปัญญามากขึ้น มันจะมีกำลังของมันออกไป ถ้ากำลังจับแล้วพิจารณา มันใช้กำลัง ถ้าใช้กำลังพิจารณาต่อเนื่องไป

ดูสิ เราเดินเรือด้วยความเร็วเกินกำลัง เรือนั้นเครื่องยนต์นั้นจะเสียหายหมด พอเครื่องยนต์เสียหาย เราจะเดินเรือต่อไปมันต้องซ่อมแซมบำรุงรักษา จิตถ้ามันได้พิจารณาของมันแล้ว มันใช้กำลังของมัน ถ้ามันไม่กลับมาทำความสงบของใจ ความเห็นการกระทำนั้นมันไม่สมดุล เห็นไหม ทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ว่าอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มัชฌิมาปฏิปทามันอยู่ตรงไหน ถ้ามัชฌิมาของกิเลสมันก็พาเรือนี้จมลงสู่ก้นทะเล ถ้ามัชฌิมาของกิเลสนะ แต่ถ้ามัชฌิมาของธรรมเราพิจารณาของเรา พิจารณาไปแล้วถ้ามันเห็นกายพิจารณากาย มันจะแปรสภาพของมัน พิจารณาบ่อยครั้งเข้า มีความชำนาญมากขึ้น มันจะละเอียดลึกซึ้งขึ้น ทำได้คล่องตัวขึ้น

คนที่ปฏิบัติใหม่ๆ นะ ถ้าอำนาจวาสนาเวลาเห็นกายขึ้นมา มันก็ย่อยสลายให้เราดู แหม! ตื่นเต้นมากเลย แต่อันนี้ส้มหล่น คือมันเป็นไปโดยข้อเท็จจริง แต่เราไม่มีสติปัญญาบริหารจัดการ เห็นเขาเอาเรือเข้าฝั่ง อู้หูย! เรือนี้เข้าเทียบท่าเทียบท่าจนต้องจอดรอกันเลยนะเพราะเรือมากจนเทียบท่าไม่ได้ เราเห็นเรือเขาเทียบท่า เราก็เทียบท่าได้ เดี๋ยวเราจะเอาเรือเข้าเทียบท่า นี่ก็เหมือนกัน พอพิจารณาไปแล้วมันไม่เป็นหรอกเอาเข้าไปเทียบท่าแล้วมันจะไปเสยเอาท่าเรือ เรือจะยุบหมดเลย เวลาเขาจะเทียบท่า เขาจะเข้าท่า เขาต้องมีเจ้าหน้าที่นำร่องเจ้าหน้าที่นำร่องเขาจะชักเรือนำร่องเข้าเทียบท่า ไอ้นี่เราจะเสยเลยนะ เราจะออกเรือมันจะพลิก

เวลาพิจารณาไปแล้วมันจะมีความชำนาญของมัน ถ้ามีความชำนาญมันจะมีร่องน้ำของมัน ถ้ามีร่องน้ำของมัน เราจะเอาเรือเราเทียบท่า เราจะเอาเรือเราเข้าฝั่ง ถ้าเราเอาเรือเข้าฝั่ง เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก การพิจารณา พิจารณาเพื่อให้รู้จริงขึ้นมานี่คือการฝึกหัดใจนี่คือการพิจารณานี่คือการฝึกหัดใช้ปัญญา

ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาพิจารณาซ้ำๆซากๆ ทำซ้ำๆซากๆ เพราะเจ้าหน้าที่นำร่องเขาฝึกหัดมา เขานำร่องนั้น เขาจะมีความชำนาญ เขาจะนำร่องเรือนั้นเข้าสู่ร่องน้ำนั้น ครูบาอาจารย์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา สร้างสมบุญญาธิการมาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ขึ้นมา ท่านชี้ทางไว้ให้หมดล่ะ เวลาชี้ทางปฏิบัติ ถ้าเราทำขึ้นมาแล้วเราจะชำนาญในร่องน้ำ เราจะชำนาญในการกระทำ เราจะไม่จมเรือเราทิ้งหรอก เพราะเรารู้ว่าการเอาเรือเทียบท่ามันจะมีระวางสินค้าต่างๆเราจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย แล้วเรือเราจะไม่จมอยู่กลางทะเลอีกต่างหาก

เวลาปฏิบัติเวลาเรามีสติมีปัญญา เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เราจะฝึกหัด จะพยายามชี้นำเราอย่างนี้แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้ เราต้องใช้เจ้าหน้าที่นำร่อง เราเอาเรือเราไปไม่รอด แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราตามความเป็นจริง เราไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ เห็นไหมครูบาอาจารย์ก็ครูบาอาจารย์ สาธุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติธรรม ท่านบรรลุธรรมไปหมดแล้วไอ้เราสาวกสาวกะไอ้ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ แต่ก็มีวาสนาเพราะเห็นร่องเห็นรอย เห็นร่องเห็นรอยของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราก็ทำของเราอยู่ร่องน้ำๆ มันมีของมันอยู่ แต่เราไม่รู้จักร่องน้ำนั้นน่ะ พอพิจารณาไปแล้วมันจะปล่อยวางขนาดไหน พิจารณาซ้ำๆๆ ของมันไป

ซ้ำ เห็นไหมร่องน้ำนั้นไม่ได้เราก็ฝึกหัดของเราเราฝึกหัดของเราเพราะการฝึกหัดนั้นมันเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดความชำนาญขึ้นมาใช่ไหม ถ้าไม่มีการฝึกหัดเลย มันจะเอาความชำนาญมาจากไหน เอาความชำนาญนั้นมันก็อ่านหนังสือมาศึกษามาจากของครูบาอาจารย์ ก็จำของท่านมา ท่านพูดอย่างไรก็พูดเหมือนกันเลย แต่เอาเข้าจริง ร่องน้ำไม่รู้จัก อะไรก็ไม่รู้จักเลย แต่พูดเหมือนกัน พูดเหมือนกันมันก็เป็นสัญญาไง

แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาต้องมีความจริงในใจ มันจะมีความตกผลึกในใจ ใจมันตกผลึกขนาดไหน ฝึกหัดทำของเรา ถ้าจิตสงบแล้วน้อมไปที่กาย ถ้าน้อมไปที่กาย ถ้ามันยังไม่มีเหตุมีผล ต้องซ้ำต้องน้อมไปอีกแล้วพิจารณาซ้ำๆๆมันปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยวางขนาดไหน ร่องน้ำนี้มันมีนะ เวลาสิ่งที่มันตื้นเขิน กรมเจ้าท่าเขาต้องขุดร่องน้ำเพื่อขยายมันให้มันเป็นความจริง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ขยายทางนี้ไว้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านมาแล้วร่องน้ำมีจริง ความเป็นไปของจิตที่เข้าสู่เทียบท่าได้ ถ้าทำจริง แล้วไม่ต้องให้ใครมาคัดค้าน ให้ใครมาโต้แย้ง ไอ้นั่นมันเป็นความเชื่อของเขา ไอ้ความเชื่อของเราเวลามันลุ่มๆดอนๆ จิตใจของเรา เรือพลิกคว่ำอยู่ในหัวใจนี้มันทุกข์ยากขนาดไหน

ถ้าทำสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตมันสว่างไสว มันมีหางเสือ มันมีเข็มทิศต่างๆ มันจะพาเข้าสู่ฝั่ง มันพาไปได้แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาเพราะมันเป็นไปไม่ได้ จิตสงบมันก็เสื่อมสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิปัญญาภาวนามยปัญญาไม่เกิด สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นโลกียปัญญาปัญญาเกิดจากกิเลสทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้น การศึกษาทางวิชาการนั้นแก้กิเลสไม่ได้ ก่อนจะแก้กิเลสได้มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา เรือของใครก็แล้วแต่ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีหางเสือ เข้าฝั่งไม่ได้ ถ้ามันจะเข้าฝั่ง มันต้องมีหางเสือ มีเข็มทิศ มีการดำเนินของมัน ถ้ามีการดำเนินของมันแล้วมันเกิดที่ไหนล่ะ มันเกิดที่ไหนถ้าจิตมันไม่สงบ ถ้าจิตไม่สงบ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีหางเสือ ไม่มีเข็มทิศ เราเอาเรือเข้าฝั่งไม่ได้

ถ้าไม่มีหางเสือ ไม่มีเข็มทิศพอจิตมันสงบแล้วคนไม่มีปัญญาจะพาเรือเข้าไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีจิตไม่มีความสงบของใจขึ้นมา มันก็เกิดกำลังขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน เห็นไหม ถ้าไม่มีสมาธิปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นปัญญาโลกๆปัญญาโลกคือสัญญาทั้งหมด คือการศึกษา ศึกษาคือจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาศึกษาก็ก็อปปี้มาศึกษามา ทำวิจัยขนาดไหนมันก็เป็นจินตนาการ เป็นจินตมยปัญญาปัญญาอย่างนั้นแก้กิเลสไม่ได้ จินตมยปัญญาแก้กิเลสไม่ได้ ต้องเป็นภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญามันเกิดจากอะไร มันก็เกิดจากจิต

ถ้าเกิดจากจิต ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา ตัวจิตมันมีอวิชชา มันจะสงบเข้ามาได้อย่างไรถ้ามีอวิชชาขึ้นมามันก็มีสมุทัยเจือมา ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาของสมุทัย ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิของสมุทัย เพราะสมาธิมันเสื่อม ถ้าสมาธิมันเข้มแข็งสมุทัยมันต้องยุบตัวลง ยุบตัวลงสมาธิมันก็แจ่มแจ้งขึ้นมา ถ้าสมาธิแจ่มแจ้งขึ้นมาฝึกหัดใช้ปัญญาๆพิจารณาซ้ำๆซากๆ ถ้าซ้ำๆซากๆ พิจารณาซ้ำซาก มันมีผลของมัน มันปล่อยวางของมัน มันมีปัญญาของมัน มันมีกำลังของมัน มันมีร่องน้ำของมันมันเข้าออกของมันถ้าเข้าเทียบได้หรือไม่ได้มันก็ฝึกหัดอยู่อย่างนั้นฝึกหัดอยู่อย่างนั้นมีความชำนาญการอยู่อย่างนั้น

ถ้ามีความชำนาญการอยู่อย่างนั้น พิจารณากายไปแล้วมันปล่อย พิจารณากายแล้วมันเวิ้งว้างเวิ้งว้างขนาดไหนถ้าเวิ้งว้าง นี่เรามีร่องน้ำ แต่เรายังเทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้เพราะอะไรเทียบไม่ได้เพราะขณะจิตมันยังไม่มีเทียบไม่ได้เพราะมันไม่มีอกุปปธรรม

เราเข้าใจได้ การเกิดดับเราเข้าใจได้ ความคิดที่มันคิดแล้วแยกแยะขึ้นมาแล้วปล่อยวาง เราเข้าใจได้หมดเลยแต่เราเข้าใจไม่ได้ว่า เวลากายเป็นกาย จิตเป็นจิตทุกข์เป็นทุกข์ จิตมันรวมลง จิตมันเป็นอกุปปธรรม จิตมันเป็นธรรมล้วนๆเรารู้อย่างไร เรารู้ไม่ได้ รู้ไม่ได้เพราะมรรคมันไม่เกิดมรรคมันไม่เป็นความจริง มันไม่มัชฌิมาปฏิปทาไม่ลงสู่ทางสายกลางไง มันเป็นอัตตกิลมถานุโยคกามสุขัลลิกานุโยค

เวลาบอกว่าทางสายกลางๆเวลาเป็นทางสายกลางของกิเลสนี่ชอบ ทางสายกลางนอนกรนอยู่นั่นน่ะทางสายกลาง ทางสายกลางหัวหกก้นขวิดนั่นน่ะ ทำอะไรไม่เจริญ ทางสายกลาง เวลาอย่างนั้นบอกว่าเป็นทางสายกลาง

เวลาพระเราปฏิบัติขึ้นมาถือธุดงควัตรก็บอกว่านั่นเป็นอัตตกิลมถานุโยค...ไอ้นี่มันเปลือกๆ ทางสายกลางโดยจินตนาการ ทางสายกลางโดยตรรกะ มันไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย

แต่ถ้ามันเป็นทางสายกลางจริงๆ เวลามันพลิกขึ้นมา จิตมันสงบเข้ามา จิตมันใช้ปัญญาของมันขึ้นมา มันปล่อยวางอย่างไร นั่นน่ะกามสุขัลลิกานุโยค ถ้ามันอัดอั้น พิจารณาไปแล้วมันแยกแยะไม่ได้ พิจารณาแล้วมันไปไม่รอด นั่นน่ะอัตตกิลมถานุโยคเวลามันปล่อยวางสงบระงับ นั่นน่ะกามสุขัลลิกานุโยค แล้วมันสายกลางอย่างไรล่ะมันสายกลางอย่างไร เพราะเรารู้ไม่ได้ เราเทียบท่าอย่างไร เรือเข้าออกๆ อยู่ เทียบท่าไม่ได้ เทียบท่าไม่ได้ไม่มีสิ่งใดยึด ไม่มีสิ่งใดเกาะเกี่ยวเลย

พิจารณาซ้ำๆ มีความชำนาญขึ้นมา จากอัตตกิลมถานุโยคกามสุขัลลิกานุโยคทางสองส่วน เพราะจิตมันเป็นแบบนั้นคนเราเวลาจิตใจที่มันเป็นความโลภความโกรธ ความหลง มันก็ติดไปส่วนหนึ่ง เวลาปฏิบัติไปมันเป็นธรรมๆ ขึ้นมาก็หลงใหลไปส่วนหนึ่ง เวลายืนด้วยตัวเองก็ยืนไม่ได้เวลายืนด้วยตัวเองก็ล้มลุกคลุกคลาน จะทำความสงบของใจก็ทำไม่ได้ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาก็กระโดดเกาะปัญญาอยู่อย่างนั้นน่ะ มันทางสองส่วนที่จิตมันเป็นแบบนั้น มันเป็นธรรมชาติของจิตที่เป็นอย่างนั้นเลยเพราะมันมีกิเลสอยู่ มันมีความวิตกกังวล มันมีความลังเลสงสัยในใจมันเป็นธรรมชาติของมัน

ธรรมชาติธรรมะเป็นธรรมชาติธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนั้น ธรรมชาติของกิเลสมันทำให้ล้มลุกคลุกคลานธรรมชาติของกิเลสทำให้ลังเลสงสัยทั้งๆ ที่เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาฝึกหัดอยู่นี่มันก็ยังทำให้ลังเลสงสัยธรรมชาติของกิเลสเป็นอย่างนี้

แต่เวลาเป็นธรรมอกุปปธรรม ธรรมแท้ๆธรรมเหนือโลกธรรมเหนือการแปรสภาพ ธรรมเหนือทุกๆ อย่างมันต้องเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงแล้วธรรมนี้จะเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงที่มันพยายามอยู่นี่ ใจดวงที่มันล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ใจดวงที่ทุกข์ๆ อยู่นี่

เวลาบอกว่า “มันทุกข์ยากมาก ปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติมันทุกข์ยากมาก เวลาเขาปฏิบัติแล้วมันเป็นธรรม ปฏิบัติแล้วมันมีความดีความงาม”

เราก็เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้วกับเพชรที่อยู่ในเหมือง เพชรที่อยู่ในโคลนในตมมันก็เป็นเพชร เพชรที่เขาเจียระไนแล้วเขาประดับไว้บนยอดมงกุฎ ประดับไว้ที่สร้อยคอประดับไว้ที่แหวนมันเป็นเพชรที่เจียระไนแล้ว มันก็เป็นเพชรเหมือนกันนั่นแหละ แต่เพชรที่เจียระไนแล้วกับเพชรที่ยังไม่เจียระไน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราคิดของเรา เราก็คิดว่าเพชรที่เจียระไนแล้วมันจะเป็นธรรม เราก็จะหาแต่เพชรที่เจียระไนแล้ว มันจะไปหาที่ไหนเพชรมันก็อยู่กับโคลนตมทั้งนั้นน่ะถ้าเพชรอยู่ในโคลนตม เราอยากได้เพชรที่เจียระไนแล้วแบบที่เรารู้เราเห็น ที่เราศึกษาในธรรมวินัยนี้ มันเป็นเพชรที่เจียระไนแล้ว ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการันตีแล้ว อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นเพชรที่เจียระไนแล้ว

แต่หัวใจของเรา หัวใจของสัตว์โลกมันมีธรรมชาติที่รู้นี้อยู่มันก็มีสิทธิ เพราะมันมีจิต มันมีนามธรรมอันนี้ สิ่งที่จะพัฒนาขึ้นมาให้เข้าสู่อกุปปธรรม แต่มันไม่มีที่เจียระไนแล้วหรอกเพชรที่เจียระไนแล้วคือเพชรที่เจียระไนเสร็จแล้วมันถึงเป็นเพชรที่เจียระไนที่แวววาว ที่มันมีแสงประกาย นั่นเป็นเพชรที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติจบแล้ว แล้วเราก็ไปศึกษามาๆ แล้วเราก็จะเอาเพชรแบบนั้นๆ จะเอาเพชรที่เจียระไนแล้วๆ

ไอ้เพชรที่เจียระไนแล้วมันไปซื้อที่ร้านสิ ไอ้เพชรของเรา เราต้องขุดจากเหมืองขุดจากจิตของเราขุดจากกายกับใจเราขึ้นมา แล้วเราก็กำลังเจียระไนกันอยู่นี่ พิจารณาของเรา พิจารณาซ้ำๆซากๆ มันเป็นการเจียระไนใจเราพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถ้ามันสำเร็จลุล่วงทั้งหมด กายเป็นกาย จิตเป็นจิตทุกข์เป็นทุกข์ มันปล่อย พับ! ขันธ์ ๕ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ ก็ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ก็ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ก็ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วขันธ์ ๕ มันไปไหนล่ะขันธ์ ๕ มันไปไหนแล้วจิตมันรับรู้ รับรู้อย่างไร เห็นไหม

ถ้าเป็นเพชรที่เจียระไนแล้ว จิตดวงนั้นรู้ มีขณะจิตที่เป็นไปแต่ถ้าเราจะไปศึกษามา ไปก็อปปี้มา เราจะไปเอาเพชรที่เจียระไนแล้วมาเป็นเพชรของเรา แล้วเอามาก็เข้ากันไม่ได้เพราะเอามาแล้วเพชรที่เจียระไนแล้วเม็ดหนึ่ง แต่ความรู้สึกเราเป็นเพชรที่ยังไม่เจียระไน คนเราไม่มีจิตสองดวงนะคนเรามีจิตหนึ่งเท่านั้น คนเรามีจิตหนึ่ง ฉะนั้น เราไปเอาเพชรของครูบาอาจารย์มาว่ามาเป็นเพชรของเราเราอยากได้จริงอย่างนั้นจริงหรือเพราะอะไร เพราะเวลามันเกิด มันสุขมันทุกข์มันก็ใจของเรา มันเป็นเพชรของเรา ไม่ใช่เพชรของครูบาอาจารย์ ใจของเรามันยังไม่ได้เจียระไน มันจะสุขมันจะทุกข์ มันจะดีมันจะชั่ว มันก็จะเกิดขึ้นจากเพชรดวงนี้ ถ้าเพชรดวงนี้ เพชรที่มันไม่ได้เจียระไน เรามาเจียระไนเพชรเราดีกว่า ถ้าเราเจียระไนเพชรของเรา เราก็จะได้เพชรแท้ของเราขึ้นมา ไม่ใช่ไปเอาเพชรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพชรของครูบาอาจารย์มา จะให้เหมือนอย่างนั้น มันไม่มีในโลก แต่มันมีโดยสัญญา มีโดยการคาดการหมายที่เขาทำกัน

ถึงบอกว่าฟังแล้วเราอย่าไปเชื่อใคร กาลามสูตร อย่าไปเชื่อเราฟังมา ฟังธรรมของครูบาอาจารย์มาเพื่อจะมาเจียระไนเพชรของเรา ถ้าเจียระไนเพชรของเรา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสมบัติของเรา

เราเกิดมาเกิดจากพ่อจากแม่พ่อแม่เลี้ยงดูมา มีสติปัญญาจนโตขึ้นมาระดับนี้ บวชเป็นพระเป็นเจ้า เราเป็นฆราวาส เรามาประพฤติปฏิบัติเราโตมาขนาดนี้เราก็ใช้สติปัญญาเรามาขนาดนี้ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริงของเรา หรือเราจะตื่นไปตามกระแสสังคม

สังคม สังคมที่เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านพูดให้ลูกศิษย์ฟังกันมาว่าท่านออกประพฤติปฏิบัติ มีแต่คนตื่นกลัว มีแต่คนไม่เห็นด้วยทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะท่านใช้ชีวิตของท่าน ทำความจริงของท่าน เพราะเวลาทำความเป็นจริง ความเป็นจริงเกิดขึ้นมากับจิตของผู้ใดก็แล้วแต่มันคุ้มค่า เพราะเวลาออกประพฤติปฏิบัติทุกข์ๆ ยากๆวิตกกังวล มันมีแต่ความเร่าร้อนในใจแต่ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเจียระไนเพชรของท่านเอง จนเพชรของท่านแวววาวขึ้นมา มันคุ้มค่าที่วิมุตติสุข

ถ้าจิตมันพ้นจากกิเลสไปแล้ว กิเลส สพฺเพธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตา มันเป็นการแปรสภาพมันเปลี่ยนแปลงมันไม่มีอะไรคงที่แต่พอมันเสร็จสิ้นกระบวนการไปแล้ว อกุปปธรรมวิมุตติสุข ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเคลื่อนย้ายไม่มีการเติมและการบกพร่อง มันสมบูรณ์ของมันตลอดเวลา

หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น เราพูดบ่อย พูดว่าเพราะเรามีที่มาที่ไปฉะนั้น ไม่ต้องไปทุกข์ยากแทนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านได้เพชรน้ำงามในใจของท่าน ท่านได้ผลของการปฏิบัติของท่าน ท่านได้วิมุตติสุขในใจของท่านไปแล้วแต่ที่เอามาพูดบ่อยๆ นี้เพราะว่าเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง เป็นเนติแบบอย่างให้เรายึดมั่นถือมั่น ให้มีเนติแบบอย่างที่เราจะประพฤติปฏิบัติไป เราไม่ต้องไปสงสารท่านไปห่วงอาลัยอาวรณ์ท่านว่าท่านทุกข์ท่านยากมา เพราะท่านทุกข์ท่านยากมา ท่านถึงเจียระไนเพชรของท่านสำเร็จแล้ววางข้อวัตรปฏิบัติของท่านไว้ให้เราก้าวเดินตาม พอก้าวเดินตาม เราพยายามทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราถ้าทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรามันจะเป็นปัจจัตตังมันเป็นสันทิฏฐิโกมันเป็นความจริงขึ้นมา มันไม่ใช่มีแต่ความจำ มีแต่สัญญาอารมณ์ ฟังครูบาอาจารย์มาก็บอก “อย่างนี้ห้ามฟังเทศน์เลยใช่ไหม ห้ามฟังเทศน์ครูบาอาจารย์”

ฟัง! ฟัง! ขณะฟังแล้วฟังฟังเพื่อกระตุ้นใจเรา ฟังเพื่อเสริมศรัทธาความมั่นคงของใจ ถ้าไม่ฟังธรรม ไม่อยู่กับธรรมของครูบาอาจารย์ มันจะอยู่กับกิเลสแน่นอน ไม่คิดดีมันก็คิดชั่ว ถ้าไม่ฟังธรรมมันก็จะเที่ยวรอบโลก ถ้าฟังธรรมแล้ว รอบโลกนี้มนุษย์ก็สร้างขึ้นมา สิ่งที่ในโลกนี้มนุษย์สร้างทั้งนั้น เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราต้องไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งที่มนุษย์สร้างทำไมเราไม่สร้างธรรมขึ้นมาในใจทำไมเราไม่สร้างความสุขความจริงขึ้นมาในใจ

ถ้าเราจะสร้างความสุขความจริงขึ้นมาในใจโดยที่เรายังสร้างของเราไม่ได้เราก็อาศัยฟังธรรมครูบาอาจารย์เป็นที่เกาะ อย่างกำหนดพุทโธๆ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธๆๆบริกรรมไว้บริกรรมไว้ไม่ให้มันไปทางอื่น

เราฟังธรรมฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ฟังธรรมเพื่อเป็นที่เกาะ ฟังธรรมเพื่อให้ใจมันมีพื้นฐานฟังธรรมเพื่อประโยชน์กับเราถ้าไม่ฟังมันก็ออกเรื่องกิเลสแน่นอนเพราะใจมีกิเลสใจมีอวิชชา ใจไม่มีบรรทัดฐานฟังธรรมเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานให้เป็นที่ยึดเกาะของใจ แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี้เป็นธรรมของเรา ถ้าเรามีสติก็เป็นสติธรรม ถ้ามีสมาธิก็สมาธิธรรมถ้ามีปัญญาก็ปัญญาธรรม ศีลสมาธิ ปัญญาก็เป็นมรรค มรรคสามัคคี มรรคก็รวมตัว มรรคพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นธรรมจักร จักรที่มันเคลื่อนไปด้วยมรรค ๘ งานชอบเพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบปัญญาชอบ ความชอบธรรมหมุนเข้าไป หมุนเข้าไปจากอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค หมุนจนเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ถ้ามัชฌิมาปฏิปทา มันก็มรรคสามัคคี มรรคสามัคคีมันก็สมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานมันก็เป็นอกุปปธรรม มันเป็นที่ไหนล่ะ มันเป็นในหนังสือ เป็นในตำรา เป็นในอวกาศ เป็นในที่ไหนล่ะ มันต้องเป็นที่ใจของเรา

ถ้ามันเป็นขึ้นมาที่ใจของเราความลับไม่มีในโลก ใครทำดีทำชั่วคนอื่นไม่รู้ เรารู้เรานี่รู้ว่าเราทำดีหรือทำชั่ว แล้วเวลามันเกิดมรรคเกิดมรรคสามัคคีเกิดธรรมจักร จักรที่มันหมุนอยู่ในหัวใจของเรา ภาวนามยปัญญาที่เกิดขึ้น ภาวนามยปัญญา จักรที่มันเคลื่อนที่ ธรรมจักรที่มันเคลื่อนที่บดขยี้อวิชชาบดขยี้กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราความลับไม่มีในโลก เราเป็นคนทำเอง นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราทำเอง

แต่ถ้ามันไม่สมุจเฉทปหาน มันเป็นตทังคปหาน มันก็ชั่วคราวๆ อยู่อย่างนั้น ใครได้ตทังคปหานก็รู้ได้แค่นั้นแต่ถ้าใครมีความขยันหมั่นเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ถ้ามีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ทุกข์ยากมาก แต่เวลาจักรมันเคลื่อน มันมีความสุขจากภายใน

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านทำของท่าน ทำไมท่านมีความพอใจ ท่านมีความสุขของท่านเพราะอะไร เพราะจักรมันเคลื่อน มันมีรสของธรรมไงรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แล้วถ้ามันสมุจเฉทปหาน มันขาด ดั่งแขนขาด เวลากิเลสขาด ตัดออกไป ดั่งแขนขาดชัดเจนมาก

ฉะนั้น สิ่งที่ทำขึ้นมา เราจะพาเรือเข้าฝั่ง เราจะไม่จมเรือของเราเอง เอวัง